Loading...

HEALTH CORNER

อ่านเรื่องราวพบคำแนะนำเพื่อสร้างสุขภาพที่ดี พร้อมกิจกรรมและข่าวสารให้คนรักสุขภาพได้ดูแลตัวเองและคนรอบข้างอย่างถูกวิธี

โรคตาสุดฮิต พบบ่อยในผู้ชรา

โดยสุขภาพของผู้สูงอายุนอกจากโรคเรื้อรังสุดฮิตทั้งอันดับต้นๆ คือ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคอ้วนลงพุง และโรคข้อเสื่อมแล้ว ยังพบว่ามีผู้สูงอายุกว่าร้อยละ 70 ที่สายตาไม่ดี การมองเห็นไม่ชัดเจน เกิดภาวะสายตาเลือนราง หรืออาจตาบอด ถ้าไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรก

โดย 5 โรคตาที่พบมากในผู้สูงอายุ ได้แก่ หนึ่ง "ต้อกระจก" เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุด และสามารถเป็นได้กับทุกคน ซึ่งเกิดจากเลนส์แก้วตาขุ่นทำให้แสงผ่านเข้าไปในตาได้น้อยลง สาเหตุเกิดจากปัจจัยเสี่ยงคืออายุมากขึ้นหรือมีปัจจัยเสี่ยงร่วม เช่น การได้รับแสง UV บ่อยๆ หรือแสงแดดจ้า โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ทำให้เป็นต้อกระจกได้เร็วขึ้น ยากิน และหยอดตากลุ่มสเตียรอยด์ เป็นต้น

อาการของผู้ป่วยต้อกระจกจะมีตามัวลง เห็นภาพซ้อน ตาสู้แสงไม่ได้ อาจเริ่มจากต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยๆ ต่อมามัวลงมาก ปรับแว่นอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น อาจมองเห็นภาพเป็นสีเหลือง บางคนอาจมองเห็นแสงกระจายในที่สว่างจ้า ซึ่งสามารถชะลอความเสื่อมได้บ้างด้วยการสวมแว่นกันแดดป้องกันรังสี UV

สอง "ต้อหิน" เกิดจากความดันภายในดวงตาที่สูงกว่าปกติ จนทำลายประสาทตา ทำให้ดวงตาแข็งเหมือนหิน เมื่อมองจะเห็นภาพที่อยู่ตรงกลางชัด แต่กลับมองภาพบริเวณรอบๆ ไม่ได้ เป็นภัยเงียบที่อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรโดยที่ผู้ป่วยไม่ทันรู้ตัว โดยผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นต้อหินก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ เชื้อชาติ อายุ ภาวะสายตาสั้นมากๆ โรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน การใช้ยาสเตียรอยด์อย่างต่อเนื่องโดยกิน ฉีด หรือหยอดตา หรือเคยได้รับอุบัติเหตุทางตามาก่อน

ต้อหินบางประเภท เช่น ต้อหินมุมปิดเฉียบพลันที่มีอาการปวดมาก เห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ มัวลงมาก และตาแดง ถือเป็นภาวะเร่งด่วนมากต้องมาพบจักษุแพทย์ทันที ที่สำคัญผู้ป่วยต้อหินทุกคนต้องมาตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามคำแนะนำของจักษุแพทย์อย่างเคร่งครัด และยังไม่มีวิธีการรักษาใดที่จะทำให้การมองเห็นเป็นปกติ ทำได้เพียงมิให้การมองเห็นแย่ลงกว่าเดิม

ดังนั้น ควรตรวจคัดกรองความเสี่ยงต้อหินเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป หากไม่มีความเสี่ยงก็ควรตรวจตาเป็นประจำทุกปีอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ไม่มีอาการ แต่ถ้าสงสัยหรือสังเกตพบความผิดปกติต้องรีบพบจักษุแพทย์โดยเร็ว

สาม "จุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม" เกิดจากปัจจัยเสี่ยงคือ ภาวะสูงวัย แสง UV การสูบบุหรี่ และความดันโลหิตสูงซึ่งภาวะเสื่อมของบริเวณจุดภาพชัดที่อยู่ส่วนกลางของจอตา ทำให้การมองเห็นส่วนกลางของภาพมัวลง โดยที่บริเวณรอบข้างยังเห็นได้เป็นปกติ ระยะเริ่มต้นอาจไม่มีอาการ ต่อมาเมื่อจอตาเสื่อมมากขึ้น จะมีอาการตามัว เห็นภาพบิดเบี้ยว เห็นจุดดำอยู่กลางภาพ และสูญเสียการมองเห็นตรงกลางภาพโดยไม่มีอาการปวด ผู้สูงอายุควรตรวจตาเป็นประจำทุกปี หรือเมื่อสังเกตพบความผิดปกติต้องรีบมาพบจักษุแพทย์ และควรหยุดสูบบุหรี่ และสวมแว่นกันแดดเป็นประจำ และหมั่นรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผัก-ผลไม้สีเขียว สีเหลือง ถั่วแดง เป็นต้น

สี่ "ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา" เกิดจากการที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ ส่งผลให้ผนังหลอดเลือดฝอยเสื่อมทั่วร่างกาย รวมทั้งหลอดเลือดที่จอตา ทำให้เลือด และสารต่างๆ รั่วซึมออกมาปัจจัยเสี่ยงเกิดจากการที่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ประกอบกับระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน และโรคประจำตัวอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคไต ภาวะซีด อาการในระยะแรกมักไม่มีอาการผิดปกติ แต่ตรวจตาอาจพบจุดเลือดออกที่จอตา หากมีอาการตามัวแสดงว่าเบาหวานขึ้นจอตาเป็นมากแล้ว ซึ่งการป้องกันที่ดีที่สุดคือ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รวมทั้งดูแลโรคประจำตัวอื่นๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูงและโรคไต โรคไขมันในเลือดสูงอย่างเหมาะสม จะสามารถชะลอความรุนแรงของโรคได้ และผู้ป่วยเบาหวานทุกคนควรต้องตรวจตาโดยจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละครั้ง

และ ห้า "ภาวะสายตายาวสูงอายุ" เกิดขึ้นเมื่อสูงอายุทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน ผู้ป่วยจะมองหรืออ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในระยะใกล้ๆ ไม่ชัดเจน แต่มองไกลได้ปกติ บางคนอาจมีตาพร่า หรืออาการปวดตา มักเริ่มมีอาการเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากความสามารถ และช่วงในการเพ่งปรับสายตาลดลง เลนส์แก้วตาแข็งตัวขึ้นและการทำงานของกล้ามเนื้อตาลดลง แต่สามารถรักษาด้วยการใช้แว่นสายตา หรือการผ่าตัดทำเลสิก แต่ควรมาตรวจกับจักษุแพทย์ก่อนว่าไม่มีความผิดปกติของโรคตาอื่นๆ ร่วมด้วย

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์