Loading...

HEALTH CORNER

อ่านเรื่องราวพบคำแนะนำเพื่อสร้างสุขภาพที่ดี พร้อมกิจกรรมและข่าวสารให้คนรักสุขภาพได้ดูแลตัวเองและคนรอบข้างอย่างถูกวิธี

โรคข้อและข้อสันหลังอักเสบ

การเห็นคนหนุ่มสาวที่กำลังเติบโตมีอนาคตที่ก้าวหน้าสดใสเจริญรุ่งเรืองรออยู่ ต้องมาเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังหรือต้องพิการจากการเจ็บป่วย ถ้าไม่นับความพิการที่เกิดจากการได้รับอุบัติเหตุต่าง ๆ

 

โรคข้ออักเสบเรื้อรังก็เป็นกลุ่มโรคหนึ่งที่ทำให้เกิดความพิการได้ในคนหนุ่มคนสาว และในบรรดาโรคข้ออักเสบเรื้อรังที่มีอยู่หลาย ๆโรค มีอยู่กลุ่มโรคหนึ่งที่มีคนหนุ่มคนสาวจำนวนไม่น้อยที่โชคร้ายต้องมาป่วยเป็นโรคกลุ่มนี้

 

นั่นคือ กลุ่มโรคข้อและข้อสันหลังอักเสบ ที่ภาษาทางการแพทย์เรียกว่ากลุ่มโรค “Spondyloarthropathy” เหตุที่ผมอยากจะเขียนถึงกลุ่มโรคนี้

 

ประการแรกเนื่องจากตามสถิติแล้วมีคนที่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบในกลุ่มโรคนี้รวม ๆ กันประมาณร้อยละ 1-2 ของประชากร

 

นั่นหมายความว่าในประเทศไทยจะมีคนที่ป่วยเป็นโรคกลุ่มนี้ประมาณร่วมล้านคนได้ ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลย

 

ประการที่สองดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า โรคนี้มักเกิดขึ้นกับคนหนุ่มคนสาวในช่วงวัยรุ่น วัยเรียน ถึงช่วงเริ่มทำงาน ซึ่งคนเหล่านี้กำลังจะเป็นกำลังสำคัญของชาติบ้านเมืองในอนาคต

 

ทำให้ประเทศชาติต้องเสียกำลังคนที่สำคัญไปกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง

 

ประการที่สาม โรคกลุ่มนี้เป็นกลุ่มโรคที่มีอาการแสดงไม่เด่นชัดนักทำให้แพทย์ส่วนมากไม่ได้นึกถึงหรือไม่คุ้นเคย

 

ผู้ป่วยที่เป็นโรคกลุ่มนี้จึงมักจะไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้องล่าช้าไปจนบางรายได้รับความเจ็บป่วยทนทุกข์ทรมานเป็นระยะเวลานานหรือจนถึงขึ้นเกิดความพิการขึ้น

 

ประการที่สี่ เนื่องจากความที่ความรุนแรงของโรคกลุ่มนี้แตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย บางรายเป็นไม่รุนแรง บางรายเป็นรุนแรง

 

แพทย์ที่ทำการรักษาจึงต้องมีประสบการณ์ในการรักษาพอสมควร จึงจะปรับการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย และติดตามการรักษาได้อย่างถูกต้อง 

 

ประกอบกับการที่เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังจึงต้องมีการติดตามและปรับเปลี่ยนการรักษาให้เหมาะสมกับโรคต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน

 

ดังนั้นแพทย์ที่ให้การรักษาจึงควรเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคข้อ เช่น แพทย์ในสาขารูมาโตโลจิส เป็นต้น

 

กลุ่มโรคข้อและข้อสันหลังอักเสบคืออะไร

 

การที่เรียกโรคกลุ่มนี้ซึ่งประกอบด้วยโรคหลายโรคที่มีข้ออักเสบเรื้อรังว่าโรคข้อและข้อสันหลังอักเสบ เนื่องจากเกือบทุกโรคในกลุ่มนี้จะมีลักษณะที่คล้ายกัน

 

คือมีข้ออักเสบของข้อบริเวณแขนขา ซึ่งส่วนมากจะเป็นข้อบริเวณขา เช่น ข้อเข่า ข้อเท้า มีอาการปวดบวมของข้อ ร่วมกับการอักเสบของข้อบริเวณกระดูกสันหลัง 

 

ทำให้มีอาการปวดหลัง แต่บางรายก็ไม่ปวด โรคในกลุ่มนี้มีหลายโรค เช่น โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบ (Ankylosing spondylitis)

 

ซึ่งจะมีข้อกระดูกสันหลังอักเสบเป็นหลักแต่ก็มีข้อของขาหรือแขนอักเสบร่วมด้วยได้ โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน (Psoriatic arthritis) ที่จะเกิดในผู้ป่วยที่เป็นโรคผิวหนังสะเก็ดเงิน (psoriasis) อยู่ 

 

โรคข้ออักเสบรีแอคตีฟ (Reactive arthritis) ที่เกิดมีการอักเสบของข้อต่าง ๆ หลังจากที่มีการติดเชื้อ โรคข้ออักเสบที่เกิดร่วมกับลำไส้อักเสบ (Inflammatory bowel disease)

 

ซึ่งพบไม่บ่อยนักในบ้านเรา ถ้าลักษณะของโรคไม่เข้ากับโรคต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วก็จัดเป็นโรคข้อและข้อสันหลังอักเสบที่ยังแยกไม่ออก (undifferentiate spondyloarthropathy) ซึ่งเป็นชนิดของโรคที่พบได้มากที่สุดในกลุ่มโรคนี้

 

ผู้ป่วยโรคข้อและข้อสันหลังอักเสบ จะมีอาการอย่างไร

 

ผู้ป่วยที่เข้าข่ายเป็นโรคในกลุ่มโรคข้อและข้อสันหลังอักเสบจะมีอาการดังนี้

 

– มีอาการปวดบวมข้อ มักจะเป็นข้อเข่า หรือข้อเท้า เป็น ๆ หาย ๆ เป็นเวลานาน มักจะเป็นข้อที่ไม่เกิดพร้อมกัน 2 ข้าง เช่น บวมข้อเข่าซ้าย แล้วมาปวดบวมข้อเท้าขวา

 

บางรายมีข้อบวมมาก มีน้ำในข้อปริมาณมากได้เนื่องจากการอักเสบ

 

– มีอาการปวดหลัง มักจะปวดบริเวณกระดูกสันหลังส่วนล่าง ๆ แต่ถ้าเป็นมากอาจจะลุกลามขึ้นมาถึงกระดูกสันหลังส่วนบนหรือคอ เมื่อเป็นนาน ๆ จะทำให้หลังแข็งหรือคอแข็ง จะก้มตัวหรือขยับหันศีรษะได้ลำบาก

 

– มีเส้นเอ็นอักเสบ มีอาการปวดบริเวณเส้นเอ็นของขาหรือเท้า เช่น เจ็บเอ็นร้อยหวายบริเวณส้นเท้าข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง จะเจ็บมากขึ้นเวลาเดินหรือเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ

 

เวลาเดินจะเจ็บบริเวณส้นเท้า เวลาตื่นนอนตอนเช้าลุกจากที่นอนลงมายืนจะเจ็บฝ่าเท้าบริเวณส้นเท้ามาก แต่พอก้าวเดินไปเดินมากลับปวดน้อยลง

 

– ปวดหลังหรือปวดตามข้อเวลาอยู่นิ่ง ๆ หรือนั่งนิ่ง ๆ นาน ๆ พอจะเริ่มขยับจะปวดแต่พอขยับตัวไปแล้วจะปวดน้อยลง เวลาตื่นนอนตอนเช้ามีปวดข้อ ข้อฝืดแข็ง ขยับลำบาก แต่ถ้าขยับตัวไปมาเรื่อย ๆ จะไม่ค่อยปวด

 

 

– อาจมีตาแดงตาอักเสบ หรือทางเดินปัสสาวะอักเสบบ่อย ๆ ร่วมด้วยได้

 

– มีนิ้วมือหรือนิ้วเท้าปวดบวมอักเสบทั้งนิ้ว 1-2 นิ้ว ทำให้นิ้วบวมโตคล้ายไส้กรอก

 

อาการที่กล่าวมานี้อาจเกิดขึ้นทีละอาการ หรือเกิดร่วมกันพร้อม ๆ กันได้ ถ้ามีอาการเหล่านี้ร่วมกับรอยโรคที่ผิวหนังเป็นโรคสะเก็ดเงิน ก็จัดเป็นโรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน

 

ถ้ามีอาการดังกล่าวนี้เกิดขึ้นภายหลังการติดเชื้อ เช่น ท้องเดิน ท้องเสีย หรือเจ็บคอ ก็จัดเป็นโรคข้ออักเสบรีแอคติฟ เป็นต้น

 

จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคกลุ่มโรคข้อและข้อสันหลังอักเสบ

 

ถ้าท่านมีอายุตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น จนถึงวัยทำงานจนอายุประมาณ 40 ปี ทั้งชายและหญิงแล้วมีอาการดังที่กล่าวมาแล้ว มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เช่น 1-2 เดือน แล้วไปรับการรักษา

 

กินยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ให้สงสัยว่าอาจจะเป็นโรคกลุ่มนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคข้อ 

 

แพทย์จะทำการซักถามประวัติ และตรวจร่างกาย โดยเฉพาะตรวจข้อและข้อกระดูกสันหลังดู ถ้าสงสัยก็จะทำการถ่ายภาพรังสี (x-ray) บริเวณกระดูกสันหลังส่วนล่างดู

 

บางครั้งท่านอาจไม่มีอาการปวดหลัง แต่การวินิจฉัยโรคกลุ่มนี้อาศัยการดูภาพถ่ายรังสีว่ามีความผิดปกติที่เข้าได้กับโรคกลุ่มนี้หรือไม่ 

 

นอกจากนี้อาจมีการตรวจเลือด เพื่อแยกโรคข้ออื่นที่อาจมีอาการคล้ายคลึงกัน เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรค เอส แอล อี นอกจากนี้ยังอาจตรวจดูลักษณะทางพันธุกรรมที่ทำให้มีแนวโน้มสูงที่จะเป็นโรคนี้ที่เรียกการตรวจ HLA-B27

 

ซึ่งถ้าให้ผลบวก ก็หมายความว่าท่านมีโอกาสเป็นโรคกลุ่มนี้สูง ในขณะเดียวกันถ้าท่านมีบุตร บุตรของท่านก็อาจได้รับถ่ายทอดพันธุกรรมอันนี้ทำให้มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้เช่นเดียวกัน

 

เนื่องจากโรคกลุ่มนี้ไม่มีการตรวจเลือดอะไรที่ระบุได้แน่ชัดว่าเป็นโรคกลุ่มนี้แน่ ดังนั้นจึงมีแพทย์จำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้คิดถึง และไม่ได้ให้การวินิจฉัยโรคกลุ่มนี้

 

ทำให้ผู้ป่วยมักจะไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่ระยะแรก ๆ มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่เสียเวลาและเสียเงินทองในการรักษาอาการปวดข้อ ข้ออักเสบไปมาก กว่าจะมาได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ดังนั้นขอให้คิดถึงโรคกลุ่มนี้ซึ่งเป็นโรคกลุ่มที่พบได้บ่อย และรีบไปรับการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคข้อ

 

โรคกลุ่มโรคข้อและข้อสันหลังอักเสบ เกิดขึ้นได้อย่างไร

 

ในปัจจุบันนี้ ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า โรคกลุ่มนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่จากการศึกษาพอจะทราบคร่าวๆ ว่า โรคกลุ่มนี้เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ประการที่สำคัญคือ

 

ผู้ป่วยที่จะเป็นโรคนี้มักจะมีพันธุกรรมที่ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดเป็นโรคได้ เช่น มีพันธุกรรมชนิดที่เรียก HLA-B27 ซึ่งได้รับถ่ายทอดมาแต่พ่อ แม่ หรือปู่ ย่า ตา ยายของผู้ป่วย 

 

แต่พ่อแม่ของผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเป็นโรคนี้ และการมีพันธุกรรมชนิดนี้ไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยเป็นโรคนี้เสมอ ต้องมีปัจจัยภายนอกมากระตุ้นให้เกิดโรคซึ่งปัจจัยที่มากระตุ้นนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด 

 

แต่มักจะเกี่ยวข้องกับการมีการติดเชื้อโรคบางอย่าง เช่น การติดเชื้อลำไส้อักเสบจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิด ทำให้มีอาการท้องเดินท้องเสีย หรือการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ หรือแม้กระทั่งหลอดลมอักเสบ 

 

การติดเชื้อนี้ไม่เรื้อรังเมื่อได้รับการรักษาก็หาย แต่การติดเชื้อครั้งนั้นดูเหมือนจะไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผู้ป่วย

 

ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเปลี่ยนไป คล้ายกับจะมองว่าข้อหรือเส้นเอ็นของผู้ป่วยเองเป็นสิ่งแปลกปลอม 

 

ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังกับข้อและเส้นเอ็นของผู้ป่วยจนเกิดเป็นโรคขึ้น และมีอาการต่าง ๆ ดังที่กล่าวไปแล้ว เหตุที่เกิดโรคนี้ในช่วงวัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว

 

เพราะช่วงเวลานี้ของคนเราเป็นช่วงที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายคนเราแข็งแรงที่สุด ดังนั้นการเกิดการอักเสบจากภูมิคุ้มกันก็รุนแรงที่สุดเช่นเดียวกัน

 

การรักษาโรคข้อและข้อสันหลังอักเสบ ทำได้อย่างไร

 

เนื่องจากผู้ป่วยโรคข้อและข้อสันหลังอักเสบ มีอาการปวดบวมข้อและเส้นเอ็นต่าง ๆ อาการปวดนี้บางรายไม่รุนแรง แต่บางรายก็ปวดรุนแรงมาก และปวดเรื้อรังเป็นเวลานานจนได้รับความทุกข์ทรมาน

 

ดังนั้นการรักษาที่สำคัญประการแรกคือต้องได้รับยาต้านการอักเสบ ซึ่งส่วนมากเป็นยาในกลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ที่มีประสิทธิภาพสูง เช่นยา indomethacin และอาจต้องใช้ต่อเนื่องกันไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง 

 

ผู้ป่วยส่วนมากเป็นคนอายุน้อย ดังนั้นผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ต่อผู้ป่วยอาจไม่มากนัก แต่ก็ต้องใช้อย่างระมัดระวัง ต่อมาเนื่องจากโรคกลุ่มนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิคุ้มกัน

 

ดังนั้นจึงต้องมียาที่จะปรับเปลี่ยนภูมิคุ้มกัน หรือปรับเปลี่ยนตัวโรค เช่น ยาซัลฟาซาลาซีน (sulfasalazine) หรือยาเมโธรเทรกเซต (methotrexate) ซึ่งต้องให้ต่อเนื่องกันไปเป็นระยะเวลานานเช่นเดียวกัน 

 

ในปัจจุบันเนื่องจากมีผู้ป่วยที่มีการตอบสนองต่อยาปรับเปลี่ยนตัวโรคไม่ดีนัก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีข้อกระดูกสันหลังอักเสบ จึงมีการนำยาในกลุ่มยาชีวภาพ (biologic agent)

 

มาใช้รักษาโรคกลุ่มนี้โดยเฉพาะโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบ (Ankylosing spondylitis) และโรคข้ออักเสบสะเก็ดเงินอย่างได้ผล เช่นยา กลุ่มยาต้านสาร tumor necrotic factor-TNF (anti-TNF)

 

ซึ่งออกฤทธิ์ต่อต้านสารจากระบบภูมิคุ้มกันที่ทำให้เกิดการอักเสบโดยตรง ยากลุ่มนี้ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพสูงมาก และออกฤทธิ์เร็ว แต่เนื่องจากมีราคาแพงมาก จึงมีการนำมาใช้ในบ้านเรา แต่ยังไม่แพร่หลายนัก

 

วิธีการรักษาโรคกลุ่มนี้ อีกประการหนึ่งที่สำคัญมากคือ การทำกายภาพบำบัด โดยเฉพาะการออกกำลังกาย เช่น การว่ายน้ำ และการบริหารกล้ามเนื้อ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหลังและข้อกระดูกสันหลัง ป้องกันไม่ให้ข้อติดยึดและพิการ 

 

การทำกายภาพบำบัดนี้ควรทำอย่างสม่ำเสมอ และทำควบคู่กับการรักษาด้วยยาไปตลอดการรักษา จะช่วยให้อาการของโรคดีขึ้น และอาจใช้ยาน้อยลงหรือสามารถหยุดยาได้เร็ว นอกจากนี้สำหรับผู้ป่วยที่มีความพิการเกิดขึ้น

 

อาจมีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด เช่น ผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก หรือผ่าตัดแก้ไขความพิการของกระดูกสันหลังที่จำเป็น

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก น.พ.กิตติ โตเต็มโชคชัยการ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล